6 โซเชียลมีเดียการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ที่จะทำให้ขายดี
6 โซเชียลมีเดียการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ที่จะทำให้ขายดี
การทำร้านอาหารนั้น ไม่เพียงจะต้องเปิดร้านให้ทันเวลา ทำกำไรให้ได้ตามเป้า ดูแลระบบภายในร้านหรืออาจจะเทรนนิ่งพนักงานให้ทำงานได้ดี สิ่งที่ยากมากๆในการเปิดร้านอาหารนั้นก็คือ “การหาลูกค้าเข้าร้าน” และ “การให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำอีก”
ในปัจจุบันมีร้านจำนวนมากที่คิดว่าการทำการตลาดยังไงก็ทำให้ร้านอยู่รอดได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วเป็นความเชื่อแบบผิดๆ เนื่องจากในการทำตลาดผ่านออนไลน์นั้นไม่เพียงใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมเท่านั้น แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ร้านส่งมอบให้กับลูกค้าหรือเรียกว่า “Brand Experience” ซึ่งสิ่งนี้เมื่อเกิดขึ้นกับร้านจะทำให้ลูกค้าบอกต่อเป็น “Word of mouth” และทำให้ลูกค้าใหม่เข้าร้านด้วย ลองคิดดูว่าระหว่างการทำการตลาดและบอกว่าร้านอร่อยอย่างเดียว กับเพื่อนบอกต่อว่าร้านนี้อร่อย อันไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน วันนี้จึงมีวิธีการทำให้ร้านอาหารขายดีด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดผ่านทางโซเชียลมีเดีย
1. เว็บไซต์ (Website)
หลายคนคงคิดว่าการทำเว็บไซต์ร้านอาหารจำเป็นด้วยหรอ มีแค่เพจ Facebook, Instagram, Etc. ก็เพียงพอแล้ว จะเสียเงินเพื่อทำเว็บไซต์ไปทำไมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วการมีเว็บไซต์ในปัจจุบันไม่ได้ยากอย่างที่คิด การมีเว็บไซต์เสมือนการมีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นพื้นที่ส่วนตัวในการโปรโมทร้าน ในขนาดที่การใช้โซเชียลมีเดียอื่นอาจจะเสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินความจำเป็นกว่าเว็บไซต์
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีคนอยากไปรับประทานอาหารร้าน Kouen (โคเอน) แต่ไม่เคยไปมาก่อน การที่เข้าไปดูแค่เพจเฟซบุ๊คอาจจะทำให้ไม่ทราบข้อมูลได้ครบทั้งหมด อาจจะดูยากกว่า ซึ่งการมีเว็บไซต์ทำให้ดูได้ง่ายและเป็นกิจลักษณะมากกว่า การมีเว็บไซต์ยังเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) สำหรับลูกค้าใหม่ สร้างความน่าเชื่อถือ ความพรีเมี่ยมและเว็บไซต์ร้านอาหารจะปรากฏในเว็บไซต์ Google ก่อนเพจในเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม
2. เฟซบุ๊ค (Facebook)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตลาดของทางร้านอาหารส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ๊คเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร โฆษณากับทางลูกค้าหรือผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งการทำตลาดผ่านทางเฟซบุ๊คในปัจจุบันนี้มีการจำกัดการมองเห็น (Reach) ของเพจให้ผู้บริโภคเห็นได้น้อยลงขึ้นกว่าเดิมเยอะ ทำให้เจ้าของเพจร้านอาหารต้องเสียเงินเกินความจำเป็น
การ Boost Post หรือการเสียค่าโฆษณานั้น คือการที่ทำให้ผู้บริโภคได้เห็นร้านคุณมากขึ้นและสามารถเลือกกลุ่มลูกค้า (Targeting) ได้ตรงกลุ่มมากขึ้นด้วย ประโยชน์ข้อดีของเฟซบุ๊ค คือ “การแชร์”
ในการโพสต์โปรโมทอาหาร ร้านอาหารของคุณผ่านเฟซบุ๊ค ควรจะเน้นที่รูปภาพและแคปชั่นที่สั้นๆแต่ได้ใจความ เป็นคอนเทนต์ที่ดูน่าสนใจ เช่น รูปอาหารสวยๆ ดูน่ากินกับแคปชั่นว่า Happy Day Happy Hour ซึ่งคำเหล่านี้จะทำให้โพสต์นั้นถูกไลค์ถูกแชร์ได้ง่าย ซึ่งเรียกว่า การตลาดแบบบอกต่อ หรือ Word-of-Mouth นั่นเอง
นอกจากนี้การโปรโมทร้านไม่ใช่เพียงแค่โพสต์รูปเมนูอาหารเท่านั้น แต่เจ้าของเพจร้านอาหาร ควรโพสต์ภาพบรรยากาศร้านอาหาร ข้อมูลเกี่ยวข้องกับร้านอาหาร เช่น แหล่งที่มาของวัตถุดิบอาหาร หรืออาจจะเล่าประวัติความเป็นมาของร้านอาหารผ่านภาพการ์ตูน วิดีโอ เพื่อที่จะทำให้ผู้ติดตามเพจรู้สึกตื่นเต้นกับการโพสต์ของทางร้านมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ร้าน Maguro Sushi
ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยม นอกจากการโพสต์ถึงเมนูอาหารแล้ว ยังเล่าถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ส่งตรงมาจากญี่ปุ่นว่า เป็นมายังไงหรือพาไปดูสถานที่เลี้ยงปลาเพื่อให้เข้าใจในเมนูอาหารญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้นผ่านวิดีโอ หรือรูปภาพ ดังนั้น การทำให้ Maguro Sushi แตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าอื่น เพราะเจ้าของร้านให้ความสำคัญในเรื่องของวิดีโอ รูปภาพและคอนเทนต์ ทำให้ร้านอยู่รอดและขายดีอย่างที่เราเห็น
3. ไลน์แอด (Line@)
Line@ เป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟควรมีเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนมี Line ซึ่งเป็นแอฟพลิเคชั่นใช้ในมือถืออยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากเจ้าของธุรกิจ สามารถให้ลูกค้ากดติดตามร้านผ่าน Line@ ได้แล้ว เวลาโพสต์โปรโมทอะไรออกไป ลูกค้าจะมองเห็นได้ 100% หรือมองเห็นผ่านระบบ Broadcast นั่นเอง นอกจากโปรโมทแล้ว สามารถที่พูดคุยและยังรักษาฐานลูกค้า เช่น การบริการหลังขายซื้อขายแล้ว การให้คำแนะนำลูกค้า หรือการสะสมแต้มให้ลูกค้า (Coupon, Reward cards) และที่สำคัญค่าบริการ Line@ มีค่าโฆษณาที่ถูกกว่าช่องทางอื่นๆ
4. อินสตาแกรม (Instagram)
เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่กำลังมาแรงในการทำตลาดออนไลน์ ซึ่งยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทุกๆปี และผู้ใช้งานนั้นเป็นกลุ่มคนในช่วง Gen Y และ Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์การใช้โซเชียลในการหาร้านอาหาร ร้านกาแฟ ใช้ในการช้อปปิ้ง หรืออื่นๆ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องดีที่ใช้อินสตาแกรมในการโปรโมทธุรกิจร้านอาหาร
ซึ่งประโยชน์ของการใช้อินสตาแกรม จะเป็นเรื่องของการได้รับข้อมูลเชิงลึก (Instagram Analytics) ของผู้ชมและผู้ติดตามได้ ไม่ว่าจะเป็น
• Follower Insight : ข้อมูลเพศ อายุ พื้นที่พัก เวลาที่เข้ามาดู ฯลฯ
• Impression : จำนวนครั้งที่รูปของอินสตาแกรมคุณถูกนำไปแชร์หรือนำไปแสดง และถูกเห็นโดยผู้ชม
• Reach : จำนวนคนที่เข้าถึงโพสต์หรือ IG Stories ของคุณ
• Website Click : จำนวนคนที่กดเข้าไปดูในลิงก์เว็บไซต์ที่คุณได้ใส่ไว้ในอินสตราแกรม
สรุปได้ว่าอินสตาแกรมนั้นมีจุดเด่นที่น่าสนใจคือเรื่อง #Hashtag ซึ่งเป็นการเน้นย้ำข้อความต่างๆที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น อินสตาแกรมของแบรนด์เครื่องทำน้ำแข็ง จะโพสต์ติดแฮชแท็กว่า #franprime #franprimeicemachine หรืออย่างร้านอาหารญี่ปุ่น #kabochasushi #Japanese food
ดังนั้นเมื่อมีคนกดติดตามหรือเสิร์ชคำเหล่านี้ ก็เจอรูปเครื่องทำน้ำแข็ง เจอร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งการโพสต์รูปหรือวิดีโอผ่าน IG นั้นจะต้องทำให้ผู้ติดตามนั้นเตะตา รู้สึกมีความน่าสนใจ น่ากดเข้าไปดูต่อ เมื่อเราสามารถทำเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจนั้นๆได้
5. Blogger และรีวิว
ในช่วงสมัยนี้ บอกได้เลยว่าการตลาดผ่านโฆษณาอาจจะไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ โดยเฉพาะเหล่าคน Gen Y และ Gen Z
ดังนั้น การที่จะทำให้ร้านอาหาร กาแฟของคุณ มีคนเข้าร้านเยอะๆ เพราะว่าอร่อย การโฆษณานั้นจะต้องควบคู่มากับการรีวิว หรือเป็นการบอกต่อจากเพื่อน คนรู้จัก ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเป็นรีวิวที่มาจากเพจเว็บไซต์ที่ผู้คนติดตามเยอะ เช่น Pantip หรือ Wongnai เป็นต้น ซึ่งในเพจเหล่านี้ มีทั้งที่รีวิวฟรีหรือเสียเงินจ้างรีวิว แต่ถ้าหากร้านของคุณ มีจุดเด่นเฉพาะ การโพสต์รูปสวยๆ มีสไตล์ผ่านเพจเหล่านี้ ก็จะช่วยเพิ่มยอดให้กับคุณ
นอกจากนี้ Blogger ก็เป็นอีกช่องทางนึงที่น่าสนใจ เนื่องจากเหล่า Blogger จะถ่ายวิดีโอเหล่าถึงที่เขาสนใจหรืออาจจะเป็นการพาชิมร้านอาหารที่อร่อย น่านั่งผ่าน Youtube ซึ่งหลายๆร้านดัง มียอดขายเพิ่มขึ้นจากการลงผ่านทาง Blogger เนี่ยแหละค่ะ ซึ่งการทำเป็นบล็อกเกอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีคนกดติดตามเยอะอยู่แล้ว
6. Twitter
ทวิตเตอร์เป็นสื่อออนไลน์อีกหนึ่งช่องทางนึงที่คน Gen Y และ Gen Z ก็เล่นแอฟนี้กันเยอะมากๆ ซึ่งทวิตเตอร์นี้เป็นการโพสต์คำสั้นๆ มีแฮชแท็กและรูปซักรูปโพสลงไป ซึ่งทวิตเตอร์มีการตอบสนองค่อนข้างเร็ว มีทั้งข้อดี ข้อเสีย โดยข้อดี จะเป็นในเรื่องของการอัพเดตเหตุการณ์ ข่าวสารที่เร็ว แต่ในทางตรงกันข้ามนั้น ทวิตเตอร์มีข้อเสียเหมือนกัน คือการโพสต์ข้อความได้น้อย แหล่งที่มาการโพสต์อาจขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น ทวิตเตอร์อาจจะเป็นเพียงตัวเลือกสุดท้ายในการโปรโมทร้าน
สุดท้ายแล้วการเลือกช่องทางออนไลน์ในการโปรโมทร้านนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าภายในร้าน รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ดังนั้นควรที่จะศึกษาหาข้อมูลก่อนจะเลือกช่องทางในการโปรโมทร้านเพื่อที่จะช่วยให้ประหยัดงบได้ค่ะ
ใส่ความเห็น